มินิรีวิว: Kindle Fire – ร้อนแรงในราคาที่จับต้องได้

ได้ลองจับแท็บเล็ตที่อยากเล่นมานานอย่าง Kindle Fire แล้วรู้สึกว่าน่าสนใจ สมกับที่ฮือฮากันมากในช่วงเปิดตัวเมื่อปลายปีที่แล้ว (อ่าน: หลากหลายความเห็นกับ Kindle Fire) ก็เลยขอยืมเครื่องมาลองเล่นซักอาทิตย์นึง (ขอบคุณ Kindle-thailand.in.th ที่ให้ยืมมาลองครับ)

เนื่องจากว่าไม่เชี่ยวในการรีวิว Android ซักเท่าไหร่ ก็เลยขอสรุปเป็นข้อๆ ที่ได้ลองสัมผัสมาก็แล้วกันครับ

Kindle Fire มันคืออะไร ?

  • Kindle Fire เป็นแท็บเล็ตจาก Amazon ขนาดจอ 7 นิ้ว หนักแค่ 0.4 กิโล
  • ข้างในเป็น Android ที่ทำใหม่จนจำแทบไม่ได้
  • เนื้อที่ 8 GB, มีพอร์ทเดียวคือ Micro USB 2.0, แบตอยู่ได้ 8 ชั่วโมง
  • ฟรี Amazon Prime 1 เดือน สำหรับดูหนังกับรายการทีวีฟรี (สมัครปีละ $79)
  • เก็บข้อมูลบน Cloud ไม่ต้องกลัวพื้นที่เต็ม ลบออกเมื่อไหร่ก็ได้ที่ต้องการ
  • Browser ตัวใหม่ ใช้ Cloud ในการส่งข้อมูล เร็วกว่าเดิม 3 เท่า
  • ไม่มี 3G, ไม่มีกล้อง, ไม่มีไมค์
  • ราคาแค่ $199 (6,000 บาท !!)

หนึ่งสัปดาห์กับ Kindle Fire

  • Kindle Fire ยังไม่มีขายแบบเป็นทางการในไทย แต่ก็มีบริษัทที่รับเครื่องมาขาย คือที่  http://kindle-thailand.in.th (ช่วยโฆษณา) และก็มีบูทอยู่ที่ B2S เซ็นทรัลชิดลม
  • บริการที่เป็นจุดขายอย่าง  Amazon Prime ให้ดูหนัง ฟังเพลง ยังจำกัดเฉพาะในสหรัฐ เอามาใช้เมืองไทยยังไม่ได้
  • เครื่องบางกว่า iPad 1 แต่หน้ากว่า iPad 2 พอสมควร
  • เครื่องแน่นปึ๊ก แข็งแรงทนทานดี
  • แอบหนัก แต่ก็เพราะขนาดจอเล็กทำให้ไม่เมื่อยมือเท่ากับตอนถือ iPad 1

  • ลำโพงเสียงไม่ดังเท่าไหร่
  • จอคมชัดดี ให้สีสันได้พอๆ กับจอ iPad 2
  • ทั้งเครื่องมีอยู่ปุ่มเดียวคือปุ่มเปิด/ปิดเครื่อง ทำให้ลำบากเหมือนกันเวลาจะกลับมาหน้าหลัก หรือเพิ่มลดเสียง
  • เครื่องเร็วกว่าที่คิด แต่ก็มีอาการหน่วงบ้างตอนสลับแอพไปมา
  • Browser ตัวใหม่ที่บอกว่าใช้ Cloud ในการส่งข้อมูล พอลองแล้วก็ไม่ได้เร็วขึ้นจนรู้สึกได้
  • ลงแอพเองในตอนแรกทำไม่ได้ ต้อง Root เครื่องก่อน อาจจะลำบากนิดหน่อยในตอนแรก แต่พอทำเสร็จก็ใช้งานได้ตามปกติ

  • แอพบางตัวไม่ได้ทำมาพอดีกับหน้าจอ Kindle Fire ก็เป็นปัญหา Fragmentation เรื้อรังของ Android
  • เล่นเว็บ, เล่น Facebook ลื่นไหลมาก โดยเฉพาะดูวิดีโอบน Youtube ได้เนียน แม้จะเล่นความละเอียด HD 1080p ก็ตาม
  • แบตอยู่ได้ประมาณ 5-6 ชั่วโมง
  • ถ้าใช้ iPad มาก่อนจะรู้สึกว่า Kindle Fire เล็กกระทัดรัดดี ถือสะดวกกว่า แต่เวลาเล่นเว็บหรืออ่านอะไรที่ตัวเล็กลงก็ต้องเพ่งอยู่เหมือนกัน

สรุป

Kindle Fire เป็นแท็บเล็ตที่ทำได้อย่างที่โฆษณาไว้ ในราคา 6,000 กว่าบาทก็ถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคา และก็ไม่ได้เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ iPad เพราะดูแล้วเป็นคนละตลาดกัน

แต่ถ้านำมาใช้เมืองไทย ก็ยังมีติดปัญหาอยู่บ้าง ทำให้ต้องมีความรู้ทางเทคนิคพอสมควรถ้าจะเล่นให้ได้เต็มสูบจริงๆ ก็น่าสนใจว่า Amazon จะเริ่มนำ Kindle Fire ออกสู่ตลาดโลกเมื่อไหร่ ต้องคอยติดตาม

ข้อดี

  • ราคาไม่แพง (ในอเมริกา 6,000 บาท ราคาเครื่องนำเข้าไทย 9,000-9,900 บาท)
  • ทำงานพื้นฐานได้ครบ ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ
  • เครื่องเร็วและแรงเกินราคา

ข้อเสีย

  • หนาและหนักเกินตัว
  • ยังใช้ได้ไม่ดีนักที่ไทย ต้องลงโปรแกรมเพิ่มและ Root เครื่องเพื่อลงโปรแกรมได้
  • เครื่องมีปุ่มเพียงปุ่มเดียว ใช้งานลำบากเล็กน้อย

หน้าเว็บขาย Kindle Fire .. ดูกันชัดๆ $199