ฮันนีมูนมัลดีฟส์ ตอนที่ 2 : สู่รีสอร์ทในฝัน Centara Grand Maldives

ความเดิมตอนที่แล้ว หลังจากเดินทางจากไทยมาถึงมัลดีฟส์แล้ว เราก็พักที่โรงแรม Trader Hotel ในเมืองหนึ่งคืน และเช้าที่น่าตื่นเต้นก็มาถึง เมื่อเราต้องไปเยือนรีสอร์ทกลางน้ำ และขึ้น Sea Plane ครั้งแรกกันแล้ว !!

ครั้งแรกกับการนั่ง Sea Plane

ที่มัลดีฟส์มีบริษัทให้บริการ Sea Plane อยู่ 2 ที่ คือ Air Maldive กับ Air Taxi ค่าบริการต่างกันนิดหน่อย แต่ถ้าซื้อแพ็คเกจมา ทางโรงแรมก็จะเลือกสายการบินให้อยู่แล้ว ซึ่งของเราคือ Air Taxi

ความแปลกประหลาดของบริการ Sea Plane ที่นี่คือ “ไม่มีตารางบิน” หมายความว่าถ้าคุณอยากไปไหน ให้โทรมาบอกหรือแจ้งที่หมายไว้ แล้วรอประมาณ 1-4 ชั่วโมง ทางสายการบินจะตอบกลับมาว่า ตกลงเราต้องขึ้นเครื่องเวลาไหน

เข้าใจว่าเพราะคนเข้าออกโรงแรมแต่ละแห่งไม่พร้อมกัน การบินไปกลับให้ได้คนเต็มเครื่องจะประหยัดน้ำมันกว่า นี่คงเป็นการปฏิวัติวงการบินของโลกสินะนี่

โรงแรมแจ้งเราว่าจะมีรถมารับไป Sea Plane 6.00 น. ซึ่งเราต้องตื่นแต่ตี 5 เพื่อลงมาทานข้าวเช้าก่อน

อาหารเช้าที่ Trader ก็ได้มาตรฐานโรงแรมเครือแชงกรีล่า เพียงแต่เราตื่นสาย เลยต้องรีบซัดโฮก อย่างว่องไว

ถึงเวลา 6.00 น. รถสายการบินมารับกระเป๋าไป ส่วนพวกเราก็ขึ้นเรือข้ามฟาก ไปฝั่งสนามบิน แล้วก็นั่งรถต่อไปที่ Air Taxi ซึ่งมีห้องรับรองไว้นั่งรอเครื่องขึ้น-ลง

เครื่องบินที่นี่มีหลายลำเหมือนกัน และแน่นอนว่าทั้งหมดอยู่กลางน้ำ

ถึงเวลา พนักงานมาเชิญให้เราขึ้นเครื่อง มีคนขับเป็นฝรั่ง ลูกเรือเป็นชาวมัลดีฟส์

ที่นั่งบนเครื่องเป็นแถวละ 3 ที่ ซ้ายหนึ่ง ขวาสอง ที่นั่งแคบมากกก ใครตัวใหญ่นี่นั่งลำบากหน่อย

ก่อนเครื่องขึ้นก็มีพนักงานมาบอกวิธีใช้ Safety เหมือนขึ้นเครื่องบินลำใหญ่เลย แต่ก็ไม่มีอะไรมานอกจากให้รัดเข็มขัด และอ่านเอกสารตรงหน้าท่านนะจ๊ะ

ได้ยินมานานแล้วว่าเสียงใบพัด Sea Plane จะดังมาก พอใบพัดหมุนดังพั่บๆๆๆๆ ก็สรุปได้ว่า โคตรดังเลย เล่นเอาหูอื้อไปหลายนาที (บางสายการบินจะแจกที่อุดหูให้ด้วย)

ตอนวิ่งขึ้นนี่นิ่มกว่าที่คิด แต่ก็บินไม่สูงมาก ต่ำกว่าระดับเมฆพอสมควร เลยเห็นวิวชัดแจ๋วเลย

วิวมัลดีฟส์จากบนเครื่องสวยมาก !! ขอย้ำว่าสวยและแปลกตาจริงๆ โดยเฉพาะสิ่งที่เขาเรียกกันว่าอะทอลล์ …

อะทอลล์ (Atoll) สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลก

ความมหัศจรรย์ของมัลดีฟส์คือปรากฏการณ์ อะทอลล์ (Atoll) อธิบายสั้นๆ คือสมัยก่อนแถวนี้เป็นภูเขาไฟ แต่โดนน้ำทะเลซัดจนภูเขาค่อยๆ จมลงทะเล ด้วยความที่น้ำแถวนี้จะอบอุ่น เลยทำให้ปะการังโต และรวมร่างกับภูเขาที่จมลง กลายมาเป็นกลุ่มแนวปะการังขนาดใหญ่ เป็นหย่อมๆ

อะทอลล์นั้นมีความสวยงามมาก เพราะจะได้แนวปะการังขนาดใหญ่ มีฝูงปลา มีธรรมชาติที่เหมาะสมกับการพักผ่อน แต่การเกิดอะทอลล์ต้องใช้เวลานานถึง 30 ล้านปี กว่าจะเป็นรูปร่างแบบนี้ ทำให้มัลดีฟส์กลายเป็นประเทศที่มีวิวไม่เหมือนใครในโลก และรีสอร์ทกลางน้ำจึงแห่กันมาสร้างที่มัลดีฟส์ ด้วยประการฉะนี้

สัมผัสแรกที่ Centara Maldives

20 นาทีผ่านไป เครื่องก็บินลงแบบนุ่มนวน ทีแรกเข้าใจว่าเครื่องจะจอดที่สะพานในโรงแรม แต่ไม่ใช่ เพราะจอดที่ทุ่นกลางน้ำ จากนั้นเรือของโรงแรมก็ค่อยมารับเราอีกที

คุณนายกับคนขับเครื่องบิน (เฮ้ย มือๆ)

เข้ามาถึงที่รีสอร์ทแล้ว พนักงานก็พามานั่งรอที่ Lobby ซึ่งเป็นแบบเปิดทั้งหมด อากาศวันนี้กำลังสบาย ไม่ร้อน ลมกำลังดี

ระหว่างรอ พนักงานก็เอาผ้าเย็นมาให้ พร้อม Welcome Drink เป็นน้ำมะนาวผสมอะไรซักอย่าง หวานๆ เย็นซ่าชื่นใจ

เนื่องจากที่ Centara เป็นโรงแรมแบบ All Inclusive ซึ่งต้องมีการอธิบายรายละเอียดเยอะกว่าปกติดังนี้

  • All Inclusive แปลบ้านๆ คือทุกอย่างในรีสอร์ท ฟรีหมด !!
  • ข้าว 3 มื้อ เช้า กลางวัน เย็น ฟรีหมดทุกอย่าง
  • เครื่องดื่ม น้ำเปล่า น้ำอัดลม นม เบียร์ ไวน์ มิ๊กเซอร์ หรือแม้แต่ “ค็อกเทล” ก็ฟรี !! อยากดื่มเท่าไหร่ก็ได้
  • Fitness, เรือพาย, เรือถีบ, วินเซิร์ฟ อยากเล่นเมื่อไหร่ก็ได้ ฟรี

แต่เดี๋ยวก่อน มันก็มีอะไรบางอย่างที่ไม่ฟรีเหมือนกัน ซึ่งพนักงานต้องอธิบายต่อไปว่า

  • มินิบาร์ในห้อง
  • สปาไม่ฟรี (ก็แน่ล่ะ)
  • อินเทอร์เน็ตคิดค่าบริการ $5 ต่อวัน และใช้ได้แค่เครื่องเดียว ถ้าจะใช้หลายเครื่องต้องซื้อเพิ่ม
  • อุปกรณ์ดำน้ำ พวกตีนกบ สน็อกเกิ้ล คิดค่าบริการต่างหาก
  • ห้องอาหารในรีสอร์ทมี 3 ห้อง คือห้องอาคารรีฟ (บุฟเฟ่ต์), ห้องอาหารโลตัส (อาหารไทย) 2 ห้องนี้ฟรี แต่ห้องอาหาร Azzuri Mari (อาหารทะเล) จะไม่ฟรี แต่มีเครดิตให้คนละ $40 ถ้าไปทาน
เท่าที่เห็น แขกหลายคนก็ไม่ได้จ่ายตังค์เพิ่มซักเท่าไหร่ จะมีก็แค่อินเทอร์เน็ตกับอุปกรณ์ดำน้ำ
รีสอร์ทที่นี่ Check-in ได้ตอน 14.00 น. ซึ่งพวกเรามาถึงก็ 11.00 แล้ว ทางโรงแรมเลยให้เราไปทานอาหารและใช้บริการทั้งหมดได้เลย ระหว่างรอห้องพัก

แล้วก็มีพนักงานต้อนรับพาเราไปห้องอาหาร ชื่อคุณดอย เป็นคนไทย !!
คุณดอยเล่าว่าที่นี่มีพนักงานคนไทยประมาณ 20 คน มีตั้งแต่พ่อครัว พนักงานต้อนรับ พนักงานเสิร์ฟ ไปจนถึงผู้จัดการ เรียกว่าเป็นแบรนด์คนไทยจริงๆ

พนักงานในโรงแรมส่วนใหญ่เป็นชาวมัลดีฟส์ แต่ถ้าพนักงานต้อนรับจะเป็นคนไทย, จีน, ญี่ปุ่น, ฝรั่ง เพื่อต้อนรับแขกจากทั่วโลก

เราวางแผนกันว่าจะทานข้าวเช้านิดๆ แล้วก็เดินเล่นรอบรีสอร์ท จากนั้นก็ทานข้าวเที่ยงเต็มๆ ที่ห้องอาหารไทย 

ห้องอาหารรีฟ เป็นบุฟเฟ่ต์นานาชาติ ตอนเช้า Breakfast จะมีแค่ห้องอาหารนี้เปิดเท่านั้น มีที่นั่งมากถึง 120 ที่ อาหารเลยมีให้เลือกเยอะมากๆ

ชอบที่ตกแต่งพื้นทางเดินเป็นทรายทั้งหมด ซึ่งจริงๆ แล้วข้างใต้เป็นพื้นปูน แล้วเอาทรายมาวางชั้นบน ให้ความรู้สึกดีเวลาเดิน ตอนนั่งโต๊ะก็ไม่บุ๋มลงไปด้วย ไอเดียดีจริงๆ

หลังจากทานข้าวเช้า แล้วก็เดินเล่นรอบรีสอร์ท ทีแรกนึกว่าจะเล็กๆ แต่ก็เดินนานเหมือนกัน รีสอร์ทใหญ่มาก มีอะไรให้เล่นเยอะจริงๆ

ช่วงเที่ยงเราก็แวะไปทานที่ห้องอาหารไทย (ชื่อ โลตัส) ข้างในตกแต่งแบบไท๊ยไทย เปิดเพลงไทย มาศาลาไทย จาน ช้อน ทุกอย่างเป็นไทยหมด ดีใจที่แบรนด์ไทยอย่าง Centara ถึงโกอินเตอร์ก็ยังไม่ทิ้งความเป็นไทย

พนักงานบอกชาวต่างชาติชอบมาทานห้องนี้มาก ฟังแล้วรู้สึกภูมิใจเหมือนกันนะ

อาหารไทยจะมาเป็น Set แต่ละวันไม่ซ้ำกัน เป็นข้าวและกับข้าว ประมาณ 6-7 อย่าง เพราะฉะนั้นแต่ละวันควรสอบถามเมนูก่อนว่าวันนี้มีอะไรให้ทานบ้าง (ถ้าสั่งนอก Set จะเสียตังค์)

อาหารอร่อยมาก พนักงานบอกพ่อครัวเป็นคนไทย และวัตถุดิบก็สั่งมาจากเมืองไทยโดยตรง ไม่ได้ซื้อแถวนี้เพราะกลัวไม่ได้รสชาติไทยแท้

13.30 น. ทานอิ่มแล้ว เลยแวะมาพักที่ Island Club ซึ่งเป็นคลับพิเศษที่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม ประมาณคนละ 3,000 บาท ตอนซื้อแพ็คเกจจะมีราคาบอกไว้เลยว่าซื้อเพิ่มไหม ซึ่งเราทั้งสองคนยอมจ่าย ไว้จะมาอธิบายในตอนต่อไปว่าทำไมถึงควรซื้อ Island Club ครับ

สมาชิก Island Club จะได้ Check-in ที่ต่างจากคนอื่น มีพนักงานมาต้อนรับพิเศษ ของว่างพิเศษระหว่างรอ แอร์เย็น นั่งชิวมากๆ

14.00 น. ตรงเวลาเป๊ะ พนักงานต้อนรับ ซึ่งเป็นฝรั่ง พาเราไปที่ห้องพัก

ไฮไลท์ของการมาเที่ยวมัลดีฟส์คือห้องพักนี่แหล่ะ รีสอร์ทดีไม่ดีก็วัดกันตรงนี้

ระหว่างนั่งรถกอล์ฟไปที่ห้อง ก็จะเริ่มเห็นวิวบ้านกลางน้ำ เรียงรายกันเป็นแนวโค้งยาวๆ มีน้ำทะเลใสเป็นกระจกอยู่ข้างล่าง ปลาว่ายไปมา ปะการังโผล่ออกมาให้เห็น

วิวที่เราเคยเห็นแต่ในหนังสือ ตอนนี้ได้มาเห็นด้วยตาแล้ว กรี๊ดดดดด สวยยยย ><

ห้องพัก Luxury Sunset Water Villa 

ชื่อยาวๆ นี้คือชื่อห้องพักที่เราสองคนเลือกมาฮันนีมูน เป็นห้องพักกลางน้ำที่แพงสุดในรีสอร์ท ซึ่งจริงๆ ก็แพงกว่าห้องแบบปกติประมาณ 6-7 พันบาท แต่เลือกห้อง Type นี้คุ้มกว่า

คุ้มกว่าเพราะตามชื่อห้องเลย คือห้องจะหันหน้าไปมุม Sunset หรือพระอาทิตย์ตกดิน เวลาตื่นตอนเช้าแดดจะไม่แยงตา ตอนเย็นนอนกอดกันดูพระอาทิตย์ตกดินได้ด้วย ฮิ๊ววววว

ในห้องพักมีรายละเอียดเยอะมาก เอาไว้จัดรีวิวห้องพักแยกต่างหาก จะอธิบายอย่างละเอียดเลยครับ 🙂

  • ขนาดของห้องพักมีเนื้อที่ทั้งหมด 109 ตารางเมตร เรียกได้ว่า โคตรใหญ่เลยครับ เกิดมายังไม่เคยพักห้องใหญ่เท่านี้มาก่อนเลย
  • มีมุมที่นั่งโซฟารับแขก สำหรับนั่งทานอะไรเล่น
  • เราเคยบอกทางรีสอร์ทไว้ว่ามาฮันนีมูนกัน พอเปิดห้องมาก็มีแชมเปญวางไว้พร้อมน้ำแข็ง สำหรับเปิดฉลองกันด้วย ให้ฟรีเลย น่ารักมากๆ
  • เตียง King Size ใหญ่ขนาดนอนได้ 4 คน บนเตียงมีหมอนอยู่ 8 ใบ พร้อมมุ้งด้วย แต่ไม่มียุงอยู่แล้ว  ก็มีไว้สวยๆ
  • มีโต๊ะทำงานในห้อง อันนี้ชอบมาก
  • ทีวีจอแบน 32 นิ้วไม่ใหญ่เท่าไหร่ รายการก็มาตรฐานพวก HBO, ESPN, CNN แต่ที่สำคัญคือมีช่อง 3 ของไทยให้ดูด้วย !!
  • มีเครื่อง DVD ถ้าเป็นสมาชิก Island Club มีหนังให้ยืมมาดูฟรี
  • ในห้องมี Wifi ความเร็วประมาณ 3-5 Mbps ถือว่าใช้ได้
  • แก้วน้ำแบบธรรมดา แก้วน้ำแบบสูง แก้วกาแฟ ชา น้ำตาล ครีม สำหรับชงกินเล่น แต่ที่แปลกคือกาแฟเป็นแบบเมล็ด ต้องเอาเข้าเครื่องชงกาแฟที่วางอยู่ข้างๆ อารมณ์ได้กินกาแฟสดนะจ๊ะ
  • ตู้เย็นพร้อมมินิบาร์ ซึ่งถ้าเราสมัคร Island Club ทั้งหมดนี้กินได้เลยฟรี กินเท่าไหร่ก็ได้ หมดแล้วพนักงานจะมาเติมให้ใหม่ เจ๋งมาก (ซัดโฮกเลย)
  • ในห้องมีทั้งแอร์ และพัดลม คือถ้าเปิดประตูรับลมซัก 5 นาที แอร์ก็จะหยุดโดยอัตโนมัติ แต่พอปิดประตู แอร์ก็จะเปิดให้อัตโนมัติด้วย ออกแบบได้ฉลาดมากๆ
  • ห้องนอนว่าใหญ่แล้ว ห้องน้ำใหญ่ไม่แพ้กัน มีอ่างสำหรับแช่น้ำอยู่หลังเตียงเลย >////<
  • ชอบที่มีอ้างล้างหน้าแยกให้ 2 ชุด เวลาแปลงฟัน แต่งหน้า โกนหนวด ก็แยกชายหญิงได้เลย ทุกจุดมีผ้าผืนเล็กผืนใหญ่วางพร้อม
  • ห้องอาบน้ำเป็นแบบ Rain Shower น้ำแรงสะใจ น้ำร้อนก็ร้อนมาก น้ำเย็นก็เย็นเจี๊ยบเลย 
  • โต๊ะแต่งหน้าสำหรับคุณผู้หญิงก็มีแยกให้อีกโต๊ะนึง

  • ไฮไลท์คือห้องส้วมครับ เป็นแบบกระจกเปิดโล่ง ทำธุระไป มองทะเลไปด้วยได้ ฮะๆ แต่ถ้าอายก็เอาม่านลงมาบังได้
  • อุปกรณ์ในห้องน้ำนี่มีให้ครบไม่ต้องเตรียมอะไรมาเลย สบู่เหลว, สบู่ก้อน, แชมพู, ครีมนวดผม, แปลงสีฟัน, ยาสีฟัน, เสื้อคลุมอาบน้ำ, รองเท้าสำหรับเดินในห้อง อันนี้มาตรฐานอยู่แล้ว
  • แต่ก็มีอุปกรณ์ที่คาดไม่ถึงว่าจะมีก็ยังมี คือ โลชั่น, น้ำยาสำหรับตีฟองเวลาแช่ในอ่าง, หมวกอาบน้ำ, คัตเติ้ลบัต, ไดร์เป่าผม, ครีมกันแดด, เจลทาผิว, น้ำยาบ้วนปาก, เข็มกับด้าย และที่ชั่งน้ำหนัก
  • เฮ้ย !! นี่มันบ้านรึโรงแรมวะเนี่ย
  • ปลั๊กไฟที่นี่เป็นแบบ 3 หัว แต่ก็มีหัวแปลงวางไว้ในห้องให้ 2 ตัว ใช้กับปลั๊กเมืองไทยได้ไม่มีปัญหา
  • มีชูชีพสองตัวไว้ด้วย พร้อมลงน้ำตลอดเวลา
  • มาดูนอกห้องกันบ้าง เปิดประตูมาเห็นทะเลแบบสุดขอบฟ้า ไม่มีเกาะอื่นใดบังข้างหน้าด้วย
  • มีโต๊ะสีขาวสำหรับนั่งเล่น มุมนี้จะไม่โดนแดด
  • มีเก้าอี้ไม้สำหรับนอนอาบแดด แล้วก็โต๊ะวางของสำหรับจิบเบียร์ไป ดูพระอาทิตย์ตกดินไป ชิวสุดๆ อ๊ะ (มีหินรูปปลาไว้ถ่วงน้ำหนัก เผื่อพายุมาพักเก้าอี้ปลิวไปได้)
  • มีบันไดทางลงน้ำด้วย อยากลงทะเลเมื่อไหร่ก็ได้ บางวันตอนเช้าๆ มีปลามาว่ายแถวบันไดด้วย พอจะลงน้ำต้องแตะๆ ขอให้ปลาหลบไปก่อน (ฮา)
  • ที่ชอบคือมีบันไดวนที่หลังห้องด้วย เดินขึ้นไปชั้นสอง
  • ชั้นบนจะเป็นมุมนอนอาบแดด ขนาดไม่ใหญ่มาก สามารถนอนรับลมในมุมสูงได้ กลางคืนวิวที่นี่ก็สวย

คือรายละเอียดในห้องพักเยอะจริงๆ ซึ่งผมกับเชอรี่รู้สึกเพลิดเพลินไปกับทุกรายละเอียดมาก เพราะ Centara เค้าดูใส่ใจกับห้องพักและมัน 5 ดาวจริงๆ นะ

คือเราสามารถนอนห้องแอร์เย็นฉ่ำแบบเวลาไปนอนโรงแรมทั่วไปได้ หรือจะปรับห้องให้เป็นแบบตากอากาศ เปิดประตูให้ลมเย็นๆ พัดเข้ามา เปิดพัดลมในห้องก็ได้

การนอนบนเตียงแล้วเปิดประตูออกะไปเห็นทะเลสุดลูกหูลูกตา มองไปทางไหนก็มีแต่ทะเล หยิบอะไรในตู้เย็นมากินก็ได้ ดูทีวี เล่นเน็ต อ่านหนังสือ อาบแดด ว่ายน้ำ เฉพาะในห้องก็มีกิจกรรมเพียบแล้ว

ด้วยความที่ชอบห้องพักมากกกกก ช่วงบ่ายเราก็เลยอยู่ที่ห้องพักทั้งบ่ายเลย (โปรดอย่าคิดไปไกล)

ตอนต่อไปจะพาไปดูรอบๆ รีสอร์ท ห้องอาหารต่างๆ กิจกรรมทางน้ำ ฟิตเนส ดนตรี บาร์เครื่องดื่ม บรรยากาศยามค่ำคืน ดูว่าสมกับที่เค้าได้รางวัล 1 ใน 10 รีสอร์ทประเภท All Inclusive ที่ดีที่สุดจริงรึเปล่าครับ

อ่านเพิ่มเติม