5 สิ่งที่คนทำฟรีแลนซ์ “อิจฉา” คนทำงานประจำ

หลังจากที่มีหนังเรื่องฟรีแลนซ์เข้าฉาย กระแสของการทำงานฟรีแลนซ์ก็บูมขึ้นผิดหูผิดตา หลายครั้งเหลือเกินที่ได้ไปบรรยายตามมหาลัย จะได้ยินประโยคที่เด็กๆ หลายคนพูดถึง

“ทำฟรีแลนซ์นี่เท่ดีเน๊อะ ชีวิตเป็นอิสระจัง”
“พี่มีงานฟรีแลนซ์ที่ได้ตังค์เยอะๆ แนะนำไหมครับ”
“ถ้าหนูเรียนจบมาแล้วทำฟรีแลนซ์เลย จะดีไหมคะ ?”

ส่วนตัวผมทำงานประจำมามากกว่า 10 ปี ก่อนจะลาออกมารับงานในรูปแบบฟรีแลนซ์ ถ้านับตอนนี้ก็ปีที่ 3 แล้ว พบว่าชีวิตเปลี่ยนไปเยอะจริงๆ

แน่นอนว่างานฟรีแลนซ์มีข้อดีหลายอย่างที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นงานอิสระ เลือกเวลาทำงานของเราเองได้ ไม่ต้องเข้างานออกงานตามเวลา ไม่ต้องมีเครื่องแบบ เลือกทำในสิ่งที่รัก และเลือกไม่ทำในสิ่งที่ไม่ชอบได้

แต่คนในอยากออก คนนอกก็อยากเข้า ชีวิตฟรีแลนซ์ก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป ซึ่งจากที่เคยได้คุยกับเพื่อนๆ ฟรีแลนซ์ด้วยกัน เลยขอรวบรวม 5 สิ่งที่คนทำงานฟรีแลนซ์อิจฉาคนทำงานประจำดังนี้

หนังสือไอดอลของคนทำฟรีแลนซ์

1. ไม่มีเงินเดือน รายได้ไม่แน่นอน เครดิต 1-3 เดือน

ข้อดีที่สุดอย่างหนึ่งของงานประจำ คือการที่เรารู้ตัวตลอดเวลาว่า ถึงวันสิ้นเดือนจะมีเงินเข้ามาในบัญชีธนาคารจำนวนเท่าไหร่

ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องที่ดูธรรมด๊า ธรรมดา แต่คุณจะรู้สึกอย่างไร ถ้ารายได้ที่คุณลำบากทำในวันนี้ จะได้เงินอีกทีใน 3 เดือนข้างหน้า หรือบางทีก็ 6 เดือนข้างหน้า

เงินที่มาบ้างไม่มาบ้างนี่แหล่ะ สร้างปัญหาน่าปวดหัวให้คนทำฟรีแลนซ์สุดๆ ช่วงเวลาที่มีเงินก็ดีไป แต่ช่วงไหนไม่มีเงิน มันก็มืดแปดด้านเหมือนกันนะ เพราะเราไม่รู้เลยว่าเงินจะเข้ามาอีกทีเมื่อไหร่ สิ้นเดือนไม่มีเจ้านายโอนมาให้อย่างคนทำงานประจำ

เชื่อไหมว่า 3 เดือนแรกของปี 2014 ที่มีการประท้วงปิดกรุงเทพ ผมไม่มีเงินเข้าบัญชีมาเลยตลอด 3 เดือน … ลองนึกภาพถ้าเราทำงานประจำแล้วไม่มีเงินเดือนเข้ามาซัก 3 เดือน จะเครียดแค่ไหน นั่นแหล่ะครับคือสิ่งที่เราต้องเจอ

ภาพงานที่ต้องรีบปั่น ทั้งที่อยู่บนรถแท็กซี่

2. พกงานติดตัวไปด้วยทุกที่ ไม่มีวันหยุด

ผมอิจฉาเพื่อนๆ ที่พอถึงวันหยุดก็ได้ไปเที่ยวต่างจังหวัด ต่างประเทศ เที่ยวในแบบที่ไม่ต้องคิดเรื่องงาน ไม่ต้องพกงานติดตัวไปด้วยตลอดเวลา

งานฟรีแลนซ์โดยเฉพาะด้านไอที ต้องพร้อมทำงานได้ในทุกเวลาทุกสถานที่ แทบจะพก MacBook เป็นอาวุธประจำกาย มีอะไรด่วน หยิบมันขึ้นมาปั่นงานได้ทันที

เคยมีครั้งนึงผมขับรถไปเที่ยวกับที่บ้าน อยู่ดีๆ งานที่ส่งก็มีปัญหา ลูกค้าโทรมาให้แก้ด่วนระหว่างที่กำลังขับรถ … ถ้าผมยังทำงานอยู่ที่บริษัท คงมีใครซักคนที่พอวานให้ช่วยเหลือกันได้ ฝากงานกันได้ แต่นี่ไม่มี มีแค่เราคนเดียว

ถึงแม้จะหาที่จอดรถ และหยิบ MacBook มาแก้งานส่งได้ภายในไม่กี่นาที แต่นั่นก็ทำให้คิดเหมือนกันนะ ว่างานเหล่านี้มันติดตัวเราไปทุกหนทุกแห่งจริงๆ

3. รับผิดชอบงานด้วยตัวคนเดียว

ทำงานบริษัทเวลางานมีปัญหา เรายังพอมีหัวหน้าหรือมีเพื่อนร่วมงานไว้แบ่งเบาความทุกข์ได้บ้าง โดนด่าก็โดนด่าด้วยกัน กอดคอกันไป ได้รับคำชมก็รับไปทั้งทีม

แต่งานฟรีแลนซ์ส่วนใหญ่มักจะเป็นงานที่ทำคนเดียว อาจจะมีช่วยงานกับเพื่อนบ้าง แต่ความรับผิดชอบก็มักจะมาจากเราคนเดียวเต็มๆ

ถ้าเราทำดี ก็ได้เต็มๆ คนเดียวเลยแหล่ะ แต่ความซวยคือถ้าเราทำแย่ งานมีปัญหา ส่งเลท โดนด่า ก็จะต้องโดนคนเดียวไปเต็มๆ นะจ๊ะ

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมฟรีแลนซ์ส่วนใหญ่จะแคร์เรื่องเครดิตมาก อย่างในหนังก็จะเห็นว่าพระเอกพยายามจะรับแทบทุกงานที่เข้ามา เพื่อไม่ให้มีงานไหนหลุดออกไป แล้วก็เร่งพลังทั้งหมดในชีวิตปั่นงานให้เสร็จทัน Deadline

4. ป่วย = ไม่มีตังค์ | ห้ามป่วย ห้ามตาย 

เคยป่วยแล้วไปหาหมอโดยไม่ต้องคิดเรื่องค่าใช้จ่ายอะไรเลยไหมครับ ? ผมเคยตอนที่ทำงานประจำ คือทุกครั้งที่ป่วยเบิกได้เต็มที่ ไปโรงพยาบาลเอกชน แอร์เย็นๆ เป็นหวัดครั้งละ 1,500 ก็ไม่ต้องไม่ใส่ใจ บริษัทจ่ายให้หมด

จนมาเจอกับโลกแห่งความจริง เมื่อป่วยตอนทำฟรีแลนซ์นี่แหล่ะ โอ้โห จ่ายเองทุกบาททุกสตางค์

“ไปโรงพยาบาลก็หลายพัน ไปซื้อยากินเองดีกว่า” ผมคิดในใจ

ถึงจะไม่สบาย แต่พอทำฟรีแลนซ์ไม่มียกมือบอกขอลาป่วย นอนพักซัก 2 วันนะครับ อยากมีตังค์อยากมีงาน ก็ต้องก้มหน้าห้มตาทำงานต่อไป

ยิ่งป่วย ยิ่งไม่ไปหาหมอ ยิ่งต้องทำงาน ยิ่งนอนดึก ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ไม่มีเวลาพักผ่อน มันก็ยิ่งป่วยหนักขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆๆๆๆๆๆๆ

จนในที่สุดร่างกายก็พังสิครัช เหมือนกับในหนังฟรีแลนซ์นั่นแหล่ะ ตอนดูหนังนี่โคตรเข้าใจเลยอ่ะ

ความหมายของคำว่า “ห้ามป่วย ห้ามตาย” คือของจริงก็ตอนทำฟรีแลนซ์นี่แหล่ะ

ชิวนะ … แต่เหงาจัง

5. เหงา ขาดเพื่อน ไม่มีแฟน

ฟรีแลนซ์ส่วนใหญ่ทำงานคนเดียว งานที่รับมาสามารถจบได้ด้วยตัวคนเดียว ไม่ต้องพึ่งพาใคร ไม่ต้องมีเจ้านาย ไม่ต้องมีลูกน้อง ชีวิตดูเหมือนไม่ต้องมาปวดหัวกับเพื่อนรวมงานจริงไหมครับ

แต่จากคนที่เคยทำงานมาตลอด 10 ปี .. พอมาวันนึงที่เรานั่งทำงานอยู่บ้าน ทำทุกวัน ทั้งวัน ทำไปตลอด 5 วัน … 10 วัน …​ 30 วัน …. 100 วัน

มันก็ต้องมีอารมณ์ “เหงา” กันบ้างแหล่ะ

ไม่มีเพื่อนให้คุยข่มกันว่าผลบอลเมื่อคืนทีมเราชนะเฟ้ย
ไม่มีใครให้ถามว่า เฮ้ย เที่ยงนี้กินไรดีวะ
ไม่มีหัวหน้า ไม่มีเจ้านาย ที่สอนเรื่องที่เรายังไม่เก่ง เรื่องที่เรายังทำได้ไม่ดีพอ

สิ่งที่ทำได้คือเราเองก็ต้องพยายามเข้าสังคมให้มากขึ้น พบปะเพื่อนเก่าบ้าง ไปเจอสังคมใหม่ๆ บ้าง เข้าสมาคม ทำกิจกรรม เพราะการได้ทำงานร่วมกับคนนี่แหล่ะ คือ Skill ที่สำคัญมากและไม่ควรให้มันหายไป แม้จะทำฟรีแลนซ์ก็ตาม

ส่วนข้อสุดท้าย “ไม่มีแฟน” อันนี้เชื่อว่าคนทำงานก็เจอปัญหา และชอบคิดว่าคนทำฟรีแลนซ์มีโอกาสไปเจอสังคมใหม่ๆ ตั้งเยอะ น่าจะหาแฟนได้ง่าย

แต่จากที่พบเห็นคนรอบตัวมา ฟรีแลนซ์นี่แหล่ะตัวดีเลย ของการไม่มีสังคม คือไปทำงานประจำอย่างน้อยก็มีเพื่อนที่พบเจอทุกวันๆ มีเด็กใหม่เข้ามาทำงาน มีย้ายแผนก ไปงานปีใหม่บริษัท ฯลฯ

แต่งานฟรีแลนซ์ ทำงานก็ทำคนเดียว ไปเจอลูกค้า เจอทีมงาน ก็คุยกันแป๊บๆ ทำงานกันไม่นานก็จบโปรเจ็คกันไป

“จะบอกให้นะ ทำฟรีแลนซ์มันหาแฟนยากนะโว้ย เข้าใจไหม เหงาโว๊ย เหงาาาาาา” คำบ่นของเพื่อนท่านหนึ่ง

ที่มารูป – Splendith, GTH