วันนี้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว .. ผมโดน Layoff

ผมชอบชีวิตที่มีสีสัน มีเรื่องสนุกๆ ตื่นเต้นๆ ให้ทำอยู่ตลอดเวลา ..​แต่บางทีก็สีสันมันก็มาเองโดยไม่ได้ตั้งใจ โดยเฉพาะในวันนี้ (22 Aug) เมื่อ 4 ปีก่อน (2005)

เนื่องในโอกาสครบรอบ 4 ปีในวันนี้ ก็เลยอยากจะขอบันทึกช่วงเวลาแปลกๆ ของชิวิตเอาไว้หน่อย

…..

หลัง จากที่เรียนจบออกมาแล้ว ภายในเวลา 3 ปีแรกที่ทำงาน ผมทำงานมาแล้ว 5 บริษัท .. เคยเล่าให้หลายคนฟังแล้วก็มักจะตกใจกับตัวเลขนี้พอสมควร จริงๆ ก็ไม่ใช่คนที่ขี้เบื่ออะไรขนาดนั้น แต่เนื่องสมัยหนุ่มๆ ยังมีไฟและพลังงานเหลือเฟือ ก็เลยชอบรับงานที่เป็น Contract (สมัยที่ out source ยังไม่เฟื่อง) ก็เลยทำที่นู่นที 3 เดือน ที่นี่ 4 เดือน ย้ายไป ย้ายมา

ทำงานแบบนี้ถึงแม้จะเงินดี แต่ข้อเสียก็เยอะเหมือนกัน คือไม่มีสวัสดิการณ์ งานหนัก และขาดเพื่อน .. จำได้ว่างานช่วงนั้นหนักมาก หนักถึงขนาดที่บางวันเข้ามาทำงาน 9 โมงเช้า แล้วก็ออกจากบริษัทอีกทีตอนเที่ยงตรง .. ของอีกวันนึง (วันนั้นทำงาน 27 ชั่วโมง) .. สุดท้ายก็เลยเริ่มรู้สึกเหนื่อยและต้องการที่พักถาวรซักที่ ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ได้เตรียมฝากตัวฝากใจกับบริษัทซอฟท์แวร์จากอเมริกาแห่ง หนึ่ง ที่ชื่อ Drumbeat Digital (นามสมมุติ) .. ที่ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น Heartbeat Digital (นามสมมุติ #2)

ที่ Drumbeat นี้ (ย้ำว่านามสมมุติ ^ ^) เป็นบริษัทที่ขายโปรแกรมอยู่ที่อเมริกา แต่มีทีมพัฒนาซอฟท์แวร์ทั้งหมดที่เมืองไทย มีทีมงานประมาณ 30 – 40 ชีวิต ซึ่งก็ยอมรับเลยว่ามีระบบงานที่ดีมาก คนข้างในแต่ละคนก็โคตร Geek โดยเฉพาะ QA บริษัทนี้เก่งมากๆ มากขนาดที่ Dev ต้องคอยไปถาม QA ว่าตรงนี้ทำงานยังไง ตามปรัชญาที่ว่า “Dev มันบอกอะไรก็เขียนได้แหล่ะ แต่คนที่จะตรวจว่ามันเขียนได้จริงรึเปล่าคือ QA”

อีกเรื่องที่ประทับ ใจคือการทำงานที่ตรงกับ life style มาก คือใส่ชุดอะไรไปทำงานก็ได้ เข้างานสายได้ ทำงานให้เสร็จก็พอ ..​ แถมทุกวันตอนบ่าย 3 จะมีผลไม้สดๆ มาให้กินทุกวันที่กลางบริษัท และทุกคนก็จะออกมายืนกินผลไม้ พร้อมคุยเล่นกันทุกวันเวลานี้ (เป็นวิธีลดความเครียด, เพิ่ม productivity และเพิ่มความสัมพันธ์ในทีมที่แยบยลมาก)

เช้าของวันจันทร์ หลังจากที่ลง bts แล้วผมก็เดินใส่หูฟัง iPod มาฟังเพลงด้วยอารมณ์ดีตามปกติ ..​แต่แล้วพอมาถึงหน้าบริษัทก็พบว่า ..​บริษัทปิดแล้ว !!

ภาพที่เห็น คือทุกคนนั่งกันอยู่บนพื้นหน้าประตูทางเข้าที่มีโซ่คล้องและล็อคประตูอยู่ หลังจากนั้นไม่นานเจ้าของบริษัทซึ่งเป็นฝรั่งก็เข้ามา พร้อมอธิบายทุกคนว่าเกิดอะไรขึ้น ..​

  • บริษัทพอใจกับการทำงานของทุกคนมาก
  • แต่เนื่องจากเศรษฐกิจที่อเมริกาไม่ค่อยดี และต้องการลดค่าใช้จ่ายอย่างรุนแรง
  • บริษัทเลยตัดสินใจ outsource งานทั้งหมดไปที่อินเดียแทน
  • จะว่าไปทุกคนก็พอจะรู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่มีทีมงานจากอินเดียมาเดินไปเดินมาในบริษัทเดือนนึงแล้ว
  • เครื่องของทุกคนถูกฟอร์แมตหมดแล้วตั้งแต่คืนวันศุกร์ที่แล้ว (อ๊ากก ไฟล์เพลงและรูปของช้านนน)
  • จง อย่าตกใจ เพราะเราจะจ่ายค่าชดเชยให้กับทุกคนตามกฏหมาย และบวกค่าตกใจให้เล็กน้อย .. ซึ่งตรงนี้ก็ต้องปรบมือดังๆ ให้กับเจ้าของบริษัทด้วยที่แสดงสปิริตชดเชยเงินต่างๆ ให้ (บางคนได้มากถึง 12 เดือน) แทนที่จะหนีไปเลยก็ทำได้
  • หลังจากนี้ขอให้ทุกคนไปรับกล่อง 1 ใบ และเดินไปเก็บของที่โต๊ะ (แต่มีเจ้าหน้าที่เดินตามประกบ)
  • แล้วก็มารับเช็คช่วยชาติ .. เอ๊ย .. เช็คค่าตกใจ
  • หลังจากนั้นก็กลับบ้านได้แล้ว ..​วันนี้ไม่ต้องทำงาน (เพราะไม่มีงานให้ทำแล้ว)

ด้วย ความตกกะใจ และช็อคอย่างรุนแรง ทำให้ทุกอย่างผ่านไปอย่างรวดเร็วแบบเบลอๆ .. ฟังภาษาอังกฤษแบบเบลอๆ .. เดินไปเก็บของที่โต๊ะลงกล่องแบบเบลอๆ .. รับเช็คแบบเบลอๆ …

แต่ที่ไม่เบลอๆ คือหลังจากได้เช็คก็รู้ตัวทันทีว่าต้องวิ่งชายเดี่ยวร้อยเมตรไปขึ้นเช็คโดยด่วน !!

ภาพ ในตอนนั้นเหมือนที่เคยเห็นในหนังมากมาย ..​โดยเฉพาะภาพที่เดินถือกล่อง เก็บของบนโต๊ะทำงาน แล้วก็ลงมาโบก Taxi กลับบ้าน .. โอววว ..​ ดราม่าโคตรๆ

ด้วย ความเซ็งชีวิต หรือจะอะไรก็ไม่ทราบ ไม่รู้จะทำอะไรดี รู้แต่ว่าไม่อยากอยู่ที่นี่ ..​ ขโจชิจัดกระเป๋า นั่งรถไปหัวลำโพงคนเดียว ซื้อตั๋วรถไฟ ขึ้นเชียงใหม่รอบที่เร็วที่สุดเท่าที่จะหาได้ .. ไปใช้ค่าตกใจให้หายตกใจซักพักนึง

…..

มาถึงปัจจุบัน หลายต่อหลายคนก็มาทำงานอยู่ในบริษัทไอทีชื่อดังหลายต่อหลายที่ (มาอยู่ที่รอยเตอร์ก็หลายคน) และเราก็ยังติดต่อกันบ้างเป็นบางโอกาส .. แต่พอคิดถึงบรรยากาศตอนนั้นแล้ว จะว่าไปมันก็ทำให้ชีิวิตมีสีสันและก็สนุกไปอีกแบบเหมือนกันนะเนี่ย

พอกลับมาดูรูปแล้วก็ตลกดี เพราะทุกคนก็ดูยิ้มแย้มได้ เหมือนกับวันนี้เป็นวันเลี้ยงส่ง(ทุกคน) ยังไงอย่างงั้นเลย 🙂


ได้ซองกันแล้วก็ยิ้มได้

ช่วงแรกเศร้า แต่พอเก็บของกันแล้วก็เฮฮาได้

จบด้วยการเลี้ยงส้มตำ ส่งตัวเองกันทุกคนซะงั้น