เหตุผลเดียวที่ไปดู The King Speech
เป็นที่รู้กันว่า The King Speech สร้างจากเรื่องจริงของกษัตริย์อังกฤษ พระเจ้าจอร์จที่ 6 ที่มีอาการพูดติดอ่าง จนไม่สามารถพูดต่อหน้าผู้คนหมู่มากได้ แต่กลับต้องมาจำใจขึ้นครองราชทั้งที่ไม่ได้อยากเป็น โดยมีไลโอเนล ลอจ นักบำบัดอาการบกพร่องทางการพูดให้ความช่วยเหลือ
[Spoil]
หนังฉายแค่ 2 โรงคือลิโด้ กับ SF CTW หวังว่าหลังจากนี้คงเอามาฉายเพิ่งรอบกันไป
เป็นหนังอังกฤ๊ษ อังกฤษ
ภาพ สี แสง อารมณ์ มีความเป็นอังกฤษแท้ ถ้าใครไม่คุ้นลองนึกภาพแฮร์รี่ พอตเตอร์ดู (นั่นก็อังกฤษทั้งเรื่องเหมือนกัน)
ช่วงแรกเกือบหลับ หนังมืดๆ ทึมๆ การเมืองซะเยอะ
มาสนุกเอาช่วงที่เริ่มรักษาอาการติดอ่าง มีความสนุก การชิงไหวชิงพริบแบบผู้ใหญ่
พบว่ามันตลกมาก ตลกแบบโคตรตลกเลย
ขำซะจนฝรั่งในโรงขำกันไม่หยุด จนคนไทยรำคาญว่ายัยนี่เส้นตื้นรึไง (อุปสรรคของมุขทางด้านภาษานี่เอง)
Colin Firth สิ่งที่น่าสนใจในหนังมี 3 อย่าง
ความยากลำบากของการที่อยู่ดีๆ วันนึงเราต้องได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ (King)
ความสำคัญของภรรยาที่คอยอยู่เคียงข้าง และให้กำลังใจสามี
การก้าวผ่านความอาย ปมด้อย และอุปสรรคของตัวเอง สุดท้ายแล้วทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ
ฉากที่ชอบที่สุดคือตอนที่ เบอร์ตี้นั่งร้องไห้ โทษและผิดหวังกับตัวเองที่ไม่สามารถทำหน้าที่กษัตริย์ที่ดีได้ .. ดูแล้วน้ำตาไหล
ผู้ชายทุกคนย่อมมีด้านที่อ่อนแอและแตกหักได้ แต่ในเวลาอย่างนั้น ไม่ต้องการคำปลอบใจหรือแรงใจอะไร ขอแค่ใครซักคนนั่งกุมมืออยู่ข้างๆ
โดยรวม The King Speech เป็นหนังที่ดีมาก ครบรสทั้งสุข เศร้า และลุ้นไปกับตัวละคร
จริงๆ แล้วผมเชียร์ The Social Network แต่ถ้าจะบอกว่าเรื่องนี้ได้ มันก็สมควรแล้ว เพราะมีหลายอย่างที่ให้กับคนดูได้มากกว่า โดยเฉพาะตอนจบที่ิกินใจเอามากๆ เลยล่ะ
Colin Firth เจ๋งจริงๆ เรื่องนี้
เปรียบเทียบกับพระเจ้าจอร์จที่ 6 ตัวจริง
ไลโอเนล ล็อก
Tom Hooper ผู้กำกับ ได้ออสการ์ตัวแรก ยังหนุ่มอยู่เลย อายุแค่ 38
ต้องยกให้เขาเลย
ฉากนี้ทำได้โดนมาก
สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับ King ก็คือ Queen ที่คอยอยู่ข้างๆ
คลิปเสียงจริงของพระเจ้าจอร์จที่ 6 ที่พูดในตอนจบของหนัง
