เซอร์ไพรส์ในงานแต่งงานของเอ็มกับเชอรี่

“วันนี้ .. ผมจะขอทำสิ่งที่ค้างคาใจผมตลอด 16 ปีที่ผ่านมาครับ”

นั่นคือสิ่งที่ผมพูดบนเวทีในงานแต่งงาน โดยที่เจ้าสาวซึ่งกำลังนั่งอยู่กลางเวที ไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่าสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่นี่คืออะไร .. ก็แน่ล่ะ เพราะมันเป็นเซอร์ไพรส์ในงานแต่งงาน ที่ผมแอบเตรียมตัวมาตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา

คิดเอาไว้ว่าใช่ ต้องใช่แน่ๆ

ย้อนกลับไปเมื่อ 16 ปีที่แล้วสมัยม.ต้น หลังจากที่เราสองคนได้เริ่มรู้จักกันจากงานกีฬาสีของโรงเรียน (อ่าน: การ์ตูน iStory) ด้วยความที่เรากลัวเพื่อนล้อ เราจึงแอบติดต่อกันด้วยการเขียนจดหมายและโทรศัพท์หากันทุกวัน

มันเป็นช่วงที่ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าความสัมพันธ์ของเรามันเป็นอย่างไร แต่ที่แน่ๆ คือเราทั้งสองคนมีความสุขกับช่วงเวลานั้นมาก

เราโทรหากันทุกวันครับ แต่แล้วในคืนหนึ่งที่ผมโทรไปหาเชอรี่ตามปกติ แต่เชอรี่กลับไม่ได้รับสาย เพราะคืนนั้นเธอต้องไปธุระกับที่บ้าน

มันเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่ามันมีอะไรหวิวๆ อยู่ในอก มันรู้สึกแปลกไปกว่าที่เคย ผมนั่งอยู่ที่โทรศัพท์เหม่อลอยไปเรื่อย จนถึงเวลาของรายการวิทยุที่เราสองคนชอบเปิดฟังไปด้วยกัน วันนั้นดีเจเปิดโอกาสให้คนทางบ้านได้โทรศัพท์เข้ามาร้องเพลงได้ 1 เพลง

แล้วผมก็หยิบหูโทรศัพท์ โทรเข้าไปในรายการ …

ไม่รู้อะไรดลใจให้เด็กชายม.ต้น ตัวเล็กๆ คนนึง โทรศัพท์เข้าไปในรายการวิทยุที่ดังที่สุดในจังหวัดสมัยนั้น แต่ผมก็โทรเข้าไป และก็ขอร้องเพลงที่เป็นความรู้สึกจริงๆ ที่ผมมีต่อเด็กผู้หญิงคนนึงในเวลานั้น เพลงนั้นคือเพลง “คิดถึงเธอ” ของแร็พเตอร์

หลังจากที่ร้องจนจบและวางสายไป ผมรู้สึกมือชา ตัวสั่นไปด้วยความตื่นเต้น แต่ก็แอบหวังว่าอีกฝั่งหนึ่งที่ได้ฟังอยู่ คงจะเข้าใจในความหมาย … แต่น่าเสียดายครับ ที่วันนั้นเชอรี่ไม่ได้ฟังรายการอยู่ ซึ่งภายหลังพอเธอได้ยินเพื่อนมาบอกว่าผมโทรเข้าไปในรายการ ก็รู้สึกเสียดายเอามากๆ เลย

และนั่นก็เป็นสิ่งที่ค้างคาใจผมมาตลอดเวลาสิบกว่าปี ว่าซักวันนึง ผมจะต้องร้องเพลงนี้ให้เชอรี่ได้ฟังให้ได้ ซึ่งผมก็ตัดสินใจแล้วว่าจะขอทำสิ่งนั้นในงานแต่งงานของเราสองคน

วางแผนเซอร์ไพรส์

ผมเคยเรียนเปียโนมานิดหน่อยเมื่อตอนอายุ 10 ขวบ หลังจากนั้นก็ไม่ได้จับอีกเลย แต่ด้วยความชอบเครื่องดนตรีนี้มากเป็นพิเศษ ผมเลยไปสมัครเรียนเปียโนที่ Crescendo รร.สอนดนตรีชื่อดังแถวสยาม

ผมเล่าให้อาจารย์ฟังว่าผมอยากจะเล่นเปียโนและร้องเพลงในงานแต่งงานของตัวเอง ผมมีเวลาอีก 7 เดือนคิดว่าน่าจะพอไหว อาจารย์เลยให้ผมลองเล่นเพลงให้ฟังก่อนเริ่มเรียน แต่หลังจากที่อดทนฟังผมจิงเกิลเบลไปได้แค่ 5 นาที

“นี่คุณเคยเรียนเปียโนมาจริงรึเปล่าเนี่ย !! แสดงว่าตั้งแต่เด็กคุณไม่ได้เล่นอีกเลย รู้ไหมว่ากว่าจะปรับพื้นก็ต้อง 4 เดือน กว่าจะเล่นเพลงก็อีกหลายเดือน ไหนจะร้องไปด้วยอีก เล่นต่อหน้าคนไม่ใช่ง่ายๆ นะ .. เดี๋ยวนะ คุณว่าคุณจะแต่งวันไหนนะ ?” อ.พูดให้กำลังใจ

ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม สิ่งเดียวที่ต้องทำตอนนี้คือซ้อม ซ้อม ซ้อม และก็ซ้อม ผมไปขอยืมเปียโนไฟฟ้าจาก @chat9780 และใช้บริการรับแกะโน๊ตเปียโนจาก NotePiano.net แต่นั่นก็ยังไม่น่าหนักใจเท่ากับการต้องเล่นเปียโนพร้อมร้องเพลง ต่อหน้าผู้คนบนเวทีครั้งแรกในชีวิต ทุกครั้งที่คิด ขามันก็สั่นยิกๆ จนเล่นไม่เป็นเพลงเลย

เมื่อความเครียดมาเยือนจนถึงขีดสุด ผมเลยพิมพ์ Twitter Message ไปขอคำแนะนำจากคุณทฤษฎี ณ พัทลุง (@Trisdee) วาทยกรระดับโลกของไทย ซึ่งบังเอิญได้รู้จักกันทางทวิตเตอร์ คุณทฤษฎีก็ให้คำแนะนำที่ดีมาก

“ผมว่าเราต้องมั่นใจในสิ่งที่เรากำลังจะทำมากๆ แล้วก็ทำด้วยใจ .. คิดว่าในห้องมีแต่เรากับเจ้าสาวสองคน แล้วเราร้องให้เขาเท่านั้นครับ” (นาทีนั้นผมรู้สึกโชคดีมากที่เล่นทวิตเตอร์ ToT)

14 มกราคม 2555 – 19.34 น. วันแต่งงาน

เมื่อแขกเข้าไปในงานจนครบแล้ว พิธีกรก็ขึ้นมาแนะนำประวัติของเจ้าบ่าวเจ้าสาว ผมกับเชอรี่นั่งพักทำสมาธิกันอยู่นอกงาน เชอรี่ดูจะตื่นเต้น แต่เธอไม่รู้หรอกว่าคนที่ตื่นเต้นกว่า คือคนที่นั่งข้างๆ เธอ

ผมเตรียมการเซอร์ไพรส์กับทีมงานซึ่งเป็นพี่น้อง เพื่อนๆ และตากล้อง รวมแล้วกว่า 20 คน มานานหลายเดือน ในที่สุดก็ถึงเวลาจริง

พิธีกรกล่าวเปิดงานเสร็จ ก็เชิญแขกในงานชมวิดีโอ ซึ่งพอเสียงเพลงดังขึ้น เชอรี่ก็เข้าใจว่านี่คือวิดีโอขอแต่งงานของเราสองคนอย่างที่ผมเคยบอกสคริปต์ไว้ แต่เธอไม่รู้ว่าผมแอบสลับเป็นวิดีโอเวอร์ชันพิเศษ ซึ่งมีข้อความดังนี้

ระหว่างนั้นทีมงานอีก 7 คน รีบแจกแท่งไฟเรืองแสงที่แอบไปซื้อก่อนงานจำนวน 500 แท่ง ให้แขกในงานร่วมเซอร์ไพรส์เชอรี่ไปพร้อมกับผมด้วย

เจ้าหน้าที่ของโรงแรมที่ได้เตรียมกันไว้ เอาเก้าอี้มาวางที่กลางเวที ระหว่างนั้นทีมงานคนหนึ่งคอยดูต้นทางที่ประตูทางเข้า ไม่ให้เชอรี่ได้มองเห็นว่าในห้องกำลังทำอะไรกันอยู่

เมื่อทุกอย่างในห้องพร้อม ทีมงานมาแจ้งเราสองคนว่าได้เวลาเดินเข้างานแล้ว ผมพาเชอรี่มารอที่หน้าประตู

“ค่ะ ขอเชิญทุกท่านพบกับ เจ้าบ่าวเจ้าสาวของงานในคืนนี้ได้เลยค่ะ~~~”

ผมกับเชอรี่ค่อยๆ เดินเข้ามาตามทางในงาน เชอรี่เริ่มเอะใจว่าทำไมทุกคนถึงมีแท่งเรืองแสงในมือ (แต่เสียดายที่แสงในงานสว่างมาก เลยมองไม่ค่อยเห็นแท่งไฟเท่าไหร่)

เราสองคนเดินมาจนถึงทางขึ้นเวที เชอรี่หยุดชะงักกับเก้าอี้ที่วางอยู่กลางเวที ผมบอกไม่เป็นไร แล้วก็พาเธอขึ้นไปบนเวที จากนั้นผมก็หยุดเดิน แล้วหันหน้ามาบอกกับเชอรี่ว่า

“เชอรี่ครับ วันนี้เอ็มมีอะไรพิเศษบางอย่างอยากจะให้ ช่วยนั่งรอเอ็มอยู่ตรงนี้ก่อนนะ”
“เอ๋ .. อะไรเหรอคะ ?”
“เดี๋ยวก็รู้ :)”

หลังจากที่เชอรี่นั่งเด่นอยู่กลางเวทีแล้ว ผมก็เดินไปที่แกรนด์เปียโนสีดำวาวตรงหน้า พร้อมเสียงกรี๊ดกร๊าดจากกองเชียร์เกือบ 400 คนในงาน

เป็นไปตามคาดที่มือผมสั่นไม่หยุด ขาแข็งจนเหยียบ Pedal ไม่ลง .. แต่หลังจากที่ลองกดมือลงไปที่เปียโนเพื่อทดสอบเสียง ความคุ้นเคยที่ซ้อมอย่างหนักมากว่าครึ่งปี ก็ทำให้ความมั่นใจกลับมา ผมอธิบายเรื่องราวที่โทรไปร้องเพลงในรายการวิทยุ เมื่อสมัยเด็กให้แขกในงานฟัง

“เพราะฉะนั้น วันนี้ .. ผมจะขอทำสิ่งที่ค้างคาใจผมมาตลอด 16 ปีที่ผ่านมาครับ”

แสงไฟดับลง เสียงเปียโนเพลง “คิดถึงเธอ” ที่คุ้นหูก็ดังขึ้น ทีมงานฉายวิดีโอพิเศษอันหนึ่ง ซึ่งเป็นวิดีโอที่ผมแอบถ่ายเชอรี่ในมุมน่ารักๆ ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา เพื่อเป็นการบอกความรู้สึกที่ว่า ผมไม่เคยมองเห็นใครนอกจากเค้าคนเดียวเท่านั้น

ระหว่างที่เล่นและร้องเพลงไปได้แค่ท่อนเดียว ผมแอบมองมาที่เจ้าสาวกลางเวที ปรากฏว่าเธอกำลังน้ำตาไหลโฮกๆ อยู่ ทำเอาคนร้องเพลงอยู่เสียงสั่นไปด้วยเลยทีเดียว แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้จนถึงท่อนสุดท้ายของเพลง

“จะมีให้เธอเท่านั้น ให้เธอรู้ไว้ว่าฉัน ……..”

ผมหยุดร้องเพลง เสียงเปียโนเงียบลง บรรยากาศในห้องเงียบกริบ ผมค่อยๆ หันไปมองที่เจ้าสาวแสนสวยกลางเวที ผมมองเชอรี่อยู่นาน ก่อนจะบอกกับเธอผ่านเสียงในลำโพงว่า

“เชอรี่ครับ … ผมรักคุณ”

เสียงเปียโนท่อนจบดังขึ้น ท่ามกลางเสียงปรบมือกึกก้องของคนในงาน ภาพสุดท้ายบนจอคือภาพที่ผมมอบดอกไม้ให้กับเชอรี่ในชุดนักเรียน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมเคยอยากจะทำในสมัยก่อนแต่ไม่กล้าพอ

ผมลุกขึ้นไปหยิบดอกกุหลาบช่อหนึ่ง ค่อยๆ เดินไปหาเชอรี่ แล้วก็คุกเข่า มอบดอกไม้ดอกนั้นให้กับเธอ
เรากอดกันแบบที่ไม่เคยรู้สึกมีความสุขแบบนี้มาก่อน


เริ่มต้นชีวิตคู่

และนั่นคือเซอร์ไพรส์ที่ผมเตรียมงานมาเกือบปี หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมต้องทำอะไรมากมายขนาดนี้ด้วย ผมเชื่อว่าแต่ละคนให้ความสำคัญกับงานแต่งงานแตกต่างกันไป บางคนอาจจะให้ความสำคัญกับครอบครัว กับเพื่อนฝูง กับสไลด์เปิดตัว กับสถานที่สวยงาม

งานแต่งงานสำหรับผมแล้ว ผมให้ความสำคัญกับเชอรี่ กับเจ้าสาว กับคู่ชีวิตของผม ผมแค่อยากเห็นเค้ามีความสุขมากๆ แค่นั้นเอง ซึ่งช่วงเวลา 3 นาที กับอีก 52 วินาทีนั้น มันก็เป็นช่วงเวลาที่เราสองคนมีความสุขมากที่สุดในชีวิตช่วงหนึ่งเลยทีเดียวครับ

มีคนเคยบอกว่าการแต่งงาน เป็นแค่จุดเริ่มต้นของชีวิตคู่ … ถ้าอย่างนั้น ผมคิดว่าเราสองคน ก็น่าจะเริ่มต้นได้ดีเลยทีเดียวว่าไหมครับ 🙂

ส่งยิ้มสื่อความหมาย หวังให้เธอรู้ความในใจ
เธอรู้อยู่บ้างไหม ว่าอยากเจอเธอทุกวัน

ขอเพียงเท่านี้ รู้สึกดีที่มีให้กัน
ให้เธอรับไปจากฉัน ให้เธอรู้ไว้ว่าฉัน

คิดถึงเธอ
อ่านเพิ่มเติม