รีวิว: Embassy Diplomat Screens โรงหนังที่แพงสุดในไทย ที่ห้าง Central Embassy

หลังจากที่เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่อลังการไปแล้วกับ Central Embassy เมื่อเดือนที่ผ่านมา ตอนนี้โรงหนังที่หลายคนจับตามองว่าน่าจะทำลายสถิติโรงหนังที่แพงที่สุดในไทย ก็ได้เปิดให้บริการเต็มรูปแบบแล้ว

วันนี้ทาง Central Embay ได้ติดต่อเชิญมารีวิวโรงหนังและชมภาพยนตร์เรื่อง Edge of Tomorrow ในโรง Embassy Diplomat Screens เลยถือโอกาสเก็บภาพและมารีวิวให้ได้ชมกันจ้า

รู้จักกับ Embassy Diplomat Screens

  • อยู่ที่ชั้น 6 ห้าง Central Embassy
  • เป็นโรงหนังระดับ 6 ดาว ใช้งบลงทุนสูงที่สุดในไทย 120 ล้านบาท
  • ใช้ชื่อโรงหนังว่า Embassy Diplomat Screens มีจำนวน 5 โรงด้วยกัน แต่ละโรงก็จะตกแต่งแตกต่างกันไป
  • ชื่อ Diplomat หมายถึงนักการทูต สะท้อนกับชื่อห้างที่เป็น Embassy คือสถานทูต (สถานที่ตั้งเดิมบริเวณที่ดินนี้เป็นสถานทูตอังกฤษ)
  • ตกแต่งแบบอังกฤษ ออกแบบโดยร๊อกเวลล์กรุ๊ป ยุโรป สถาปนิกที่มีชื่อเสียงที่ได้รับรางวัลมากที่สุด
  • เป็นโรงที่มีพาร์ทเนอร์เยอะมาก ทั้ง AIS, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ธนาคารกรุงเทพ, Noble, Benz, Heineken, Pepsi, Emirate เข้าใจว่าด้วยราคาค่าชมที่แพง(มาก) เลยอาจจะให้สปอนเซอร์จัดกิจกรรมให้ลูกค้าได้ส่วนลดมาชมความหรูกันเรื่อยๆ
  • ตั้งเป้ากลุ่มนักธุรกิจ, ผู้บริหาร, ชาวต่างชาติ หรือจัดงานอีเวนต์ต่างๆ
  • ราคาตั๋วหนังแพงที่สุดในไทยตอนนี้ คือรวมทุกโรงแล้ว ราคาถูกสุดอยู่ที่คนละ 900 บาท แพงสุดคือคนละ 1,500 บาท (เฮือก)

ทางเข้าสุดหรู ห้องรับรองสุดไฮโซ

ขึ้นมาที่ชั้น 6 ของ Central Embassy ทางเข้าโรงหนัง เห็นแล้วขนลุก มองไปทางไหนก็ทองไปหมด โดยเฉพาะด้านบนนี่ท๊องทอง เขาว่าตกแต่งแบบสไตล์ Hollywood ทางเดินจะเป็น Red Carpet ตลอดทั้งทาง
ช่องขายตั๋วดูดีทีเดียว และก็คงไม่ต้องมีช่องยืนต่อคิว วนไปวนมาเหมือนห้างอื่น ก็แหมดูราคาบัตรนี่ก็ขั้นสุด

แต่พนักงานแจ้งว่าปกติแล้วไม่ต้องมาซื้อที่ตรงนี้ ให้เดินเข้าไปนั่งรอด้านใน มีโซฟานุ่มๆ แล้วก็เรียกพนักงานมาบริการจองที่นั่งผ่าน iPad ได้เลย ไม่ต้องไปยืนเลือกที่นั่ง

ด้านในพื้นที่ Lobby กว้างมากๆ ใช้เบาะหนังแท้ ตกแต่งเหมือนอยู่แบบผู้ดีอังกฤษ มุมที่นั่งจะดูหรูแต่น่ารักๆ สไตร์ผู้ดีหน่อยๆ

ตั๋วที่นั่งในโรงมีหลายแบบ (เดี๋ยวจะอธิบายทีหลัง) แต่ทุกที่นั่งคือจะมีอาหารเครื่องดื่มบริการด้วยฟรีเลย มีให้เลือกดังนี้

1. ชุดของว่างจาก Dean & DeLuca (ดีน แอนด์ เดลูก้า) เน้นรองท้อง พร้อม Soft Drink ให้เลือก 1 แก้ว จะเป็นโค้ก, สไปรท์, น้ำส้ม, น้ำผลไม้ ได้หมด

2. ชุดขนมจาก The Oriental Shop คุณภาพระดับโรงแรมหรู พร้อม Soft Drink ให้เลือก 1 แก้ว

3. ชุดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะเลือกไวน์หรือเบียร์ Heineken ก็ได้ 1 ขวด พร้อมถั่วให้ทานเล่น

ของว่างทั้งหมดลองทานแล้ว คุณภาพสมราคา คือนุ่มเนียน รสไม่จัด และอร่อยมากๆ แต่ถ้าใครกะมากินอิ่มคงไม่ถึงขนาดนั้น เพราะเป็นของว่างรองท้องเท่านั้น

สำหรับ Popcorn ต้องสั่งเพิ่ม ในราคา 120 บาท

โรงที่ 2-5 ระดับ 5 ดาว เหมือนนั่งชั้นนักธุรกิจบนเครื่องบิน

ในจำนวนโรงทั้งหมด 5 โรง จะมีโรงที่ 1 ที่แตกต่างจากโรงอื่นๆ ส่วนโรงที่ 2-5 จะเหมือนกันหมด มาดูโรงระดับ 5 ดาวกันก่อน

ที่นั่งจะเป็นแบบคู่ทั้งหมด เป็นเบาะหนังอย่างดี มีผ้าห่มและหมอนให้ทุกที่นั่ง

สามารถปรับเอนได้ 180 องศา คือไปลองนั่งแล้วมันเอนได้สุดจริงๆ มองเพดานเลย ถ้าจะนั่งให้ดูหนังสะดวกและฟินควรจะดูระดับ 150 องศา

ปุ่มปรับเอนอยู่ด้านข้างที่นั่ง และตรงกลางของปุ่มมีช่องเสียบ USB ชาร์จแบตมือถือได้

ด้านข้างมีที่แขวนกระเป๋าสำหรับคุณผู้หญิง แต่ถ้ากระเป๋าใบใหญ่แนะนำวางบนโต๊ะสะดวกกว่า

มีปุ่มเรียกพนักงานเข้ามาให้บริการภายในโรง ซึ่งกดแล้วก็มีพนักงานมารับ Order จริงๆ จะสั่งน้ำ ขนม Popcorn เพิ่มก็ทำได้เลย

ตรงกลางเป็นที่วางแก้ว, Popcorn, วางของทานเล่น, มีโคมไฟจิ๋ว เพื่อจะได้หยิบของว่างทานได้สะดวก ไฟขนาดเบาๆ ไม่รบกวนคนอื่น

จำนวนที่นั่งในโรงมีไม่เกิน 40 – 50 ที่นั่ง ทุกที่จะแบ่งเป็นโซนของตัวเอง ลองนั่งคนละชั้นดู คือคนข้างหน้าไม่มีทางบังคนข้างหลังได้เลย

ลองนอนลงไปแล้วดูหนังที่จอ ปรากฏว่าตัวคอกกั้นทำมาพอดีจอล่างของหนัง ทุกที่นั่งนอนดูได้ไม่มีส่วนไหนมาบดบังจอภาพ

ที่น่าประทับใจสุดคือ จากที่เคยไปดูโรงหนังระดับหรูที่อื่น พอมีที่นั่งน้อย จอภาพก็เล็กตามไปด้วย บางทีดูแล้วไม่สะใจ แต่ที่ Embassy Diplomat Screens มีขนาดจอที่ใหญ่กว่ามากๆ คือจอใหญ่เทียบเท่าโรงหนังระดับ 300 ที่นั่ง

ราคาโรงที่ 2-5 เท่ากันทุกที่นั่ง คือคู่ละ 2,000 บาท (นั่งได้ 2 คน) แต่ถ้ามาวันจันทร์ – พุธ ราคาคู่ละ 1,800 บาท

โรงที่ 1 สุดยอดความหรูระดับ 6 ดาว ส่วนตัวระดับนักธุรกิจ

ในจำนวน 5 โรงจะมีโรงที่ 1 ที่แตกต่างออกไป สร้างขึ้นมาเพื่อเน้นนักธุรกิจ, ดารา, แขกต่างชาติ หรือสำหรับจัด Private Party

เริ่มจาก Lobby ที่แยกออกมา คือข้างนอกก็ว่าหรูแล้ว มา Lobby ของโรง 1 หรูกว่ามากๆ

มีมุมสำหรับจัดโชว์สินค้าหรือจัดอีเวนต์ได้ ก่อนดูหนังก็มาเจรจาธุรกิจกันชิวๆ

ข้างในโรงหนัง มีขนาดจอใหญ่สะใจเช่นเคย และมีที่นั่งหลายรูปแบบมากๆ ราคาก็แตกต่างกันออกไป


ความเก๋ของโรงนี้คือทุกที่นั่งจะมีตู้เย็นส่วนตัว (ต้องเปิดตู้ถึงจะมีไฟติด) ข้างในจะมีทั้งเบียร์และ Soft Drink ซึ่งทานได้ฟรีทั้งหมด ไม่อั้น

มีไฟส่วนตัว สำหรับเปิดเพื่อดูเมนูอาหารได้

เบาะที่นั่งถึงแม้จะเป็นแบบโซฟา แต่ก็ปรับเอนได้เช่นกันนะ

ที่นั่งแบบ 1 คนก็มีนะ นั่งคนเดียวแบบกว้างๆ สบายๆ


โซฟาสำหรับ 2 คน มีหมอน ผ้าห่ม และด้านข้างเอาไว้วางของทานเล่นแบบส่วนตัว ของใครของมัน

นอกจากโซฟา ก็มีแบบเตียงด้วยสำหรับ 2 คน ใครชอบนอนดูหนังน่าจะฟิน

ที่น่าสนใจคือมีโซฟาสำหรับ 3 คนให้บริการด้วย ซึ่งขนาดถ้าไปนั่งจริงๆ แล้วจะรู้ว่านั่งกัน 7-8 คนยังได้เลย มันกว้างและนุ่มนิ่มมากๆ

ความสุดยอดของโรงที่ 1 นี้คือด้านบนสุดของโรงหนัง จะมีโซน Private Lounge สำหรับคนที่ชอบดูหนังไป นั่งจิบเบียร์ เม๊ากับเพื่อนไปด้วย

กระจกด้านหน้าจะเก็บเสียง ทำให้คุยกันในห้องเสียงดังก็ไม่รบกวนคนที่ดูหนังด้านใน ออกแบบมาเจ๋งและ Cool มากๆ

สำหรับราคาที่นั่งในโรงที่ 1 นี้จะมีหลากหลายพอสมควร และราคาก็สูงกว่าโรงอื่นๆ ดังนี้

  • ที่นั่งเดี่ยว ราคา 1,500 บาท  (มี 3 ตัว) 
  • โซฟาคู่ ราคา 2,000 บาท
  • โซฟาแบบ 3 ที่นั่ง ราคา 3,000 บาท (มี 2 ตัว)
  • เตียงคู่ (สีดำ) ราคา 2,000 บาท
  • เตียงคู่แบบใหญ่สุด (สีเทา) ราคา 2,600 บาท

ช่วงนี้มีโปรโมชั่น

  • ใช้ AIS 3G ลด 25%
  • ใช้บัตรเครดิตธ.กรุงเทพ, กรุงศรี, ลูกบ้านโนเบิล, เมอร์เซเดซการ์ด ลด 20%

    ประสบการณ์ดูหนังในโรง Embassy Diplomat Screens 

    สุดท้ายคงไม่มีอะไรสำคัญเท่าการทดลองดูหนังจริงในโรง ว่าสะดวกสบายไฮโซวสมกับที่ตกแต่งไว้หรือเปล่า ซึ่งหนังที่ผมได้ดูคือเรื่อง Edge of Tomorrow ซึ่งเป็นหนังแอ็คชั่น ได้ดูระบบเสียงและภาพพอดี

    ตอนแรกที่นั่งก็จะเขินๆ เล็กน้อย เพราะมันมีอะไรก็ไม่รู้รอบตัวเต็มไปหมด กดไม่ค่อยจะถูก แต่พอปรับเก้าอี้เอนได้ที่แล้ว พร้อมกับหมอนและผ้าห่ม ตาก็แทบจะปิดทันที 555 สบายเกิ๊น

    โฆษณาก่อนหนังฉายจะสั้นมากๆ รวมตัวอย่างหนังทั้งหมดแล้ว ไม่เกิน 15 นาทีก็ได้ดูหนังแล้ว ใครจะมาดูไม่ควรเลทนะฮะ

    นั่งชิวๆ อยู่ซักพักก็มีพนักงานมาเสิร์ฟ คือมาแบบเงียบๆ จนตกใจ เพราะอยู่ดีๆ ก็มาคุกเข่าด้านข้าง พร้อมของว่าง, น้ำ, Popcorn ที่สั่งเอาไว้ แต่เอาเข้าจริงก็แทบไม่ได้ทาน เพราะหนังสนุก และของว่างบางรายการต้องเบือนสายตาจากจอพอสมควร เลยกินแต่ Popcorn ไปก่อน

    ตอนสั่งต้องบอกที่นั่งด้วย แล้วพนักงานจะนำมาเสิร์ฟช่วงที่ดูหนังเลย แต่ถ้าใครอยากทานก่อนดูหนังก็แจ้งก่อนได้นะ

    ระบบเสียงถือว่าผ่าน ได้คุณภาพตามโรงหนังระดับ Digital แต่ที่ชอบสุดคงเป็นจอภาพที่ใหญ่ สุดสายตาซ้ายขวาเลย อันนี้ดีมากๆ เหมือนไปดูโรงหนังใหญ่หลายร้อยที่นั่ง แต่ดูกันแค่ 30 – 40 คน

    :: สรุป ::

    แน่นอนว่าเราคงไม่สามารถเทียบการดูหนังแบบนี้กับการดูโรงหนังทั่วไป 100-250 บาทได้ ซึ่งถ้าต้องเปรียบเทียบกับโรงหนังระดับหรูที่อื่นๆ แล้ว ถือว่า Embassy Diplomat Screens มีหลายอย่างที่เหนือกว่าพอสมควร

    อย่างแรกเลยคือจอใหญ่กว่ามาก ถ้าเทียบแล้วผมว่านี่คือโรงระดับหรูที่จอใหญ่สุดเท่าที่เคยดูมา เบาะที่นั่งปรับที่นั่งแบบ 180 องศา รวมทั้งหมอนกับผ้าห่มก็นุ่มนิ่มจนเกือบเคลิ้มหลับไปเหมือนกัน ของกินที่เสิร์ฟผมว่าอร่อยและคุณภาพดี แต่ปริมาณจะน้อยกว่าที่ Enigma พารากอนพอสมควร

    ข้อเสียก็คงไม่พ้นเรื่องราคา ถ้าสำหรับคนชั้นกลาง พนักงานออฟฟิศทั่วไป ก็คงไม่ใช่เป้าหมายที่มาชมเท่าไหร่ พาแฟนมาดูหนังครั้งนึงก็เกือบ 2,000 บาทเข้าไปแล้ว แต่ถ้ากลุ่มนักธุรกิจ, ดารา, เซเล็บ, ชาวต่างชาติ ก็ถือว่าอยู่ในราคาที่จ่ายได้สบายๆ แถมเป็นส่วนตัวมากๆ ด้วย
    สรุปคือถ้ามีกำลังทรัพย์ Embassy Diplomat Screens เป็นโรงหนังที่บริการดีมาก หรูหรา ดูหนังแบบสบายขั้นเทพ เป็นส่วนตัว และน่าจะเป็นโรงหนังระดับหรู ที่ดีที่สุดในไทยตอนนี้

    ข้อดี

    • ให้ประสบการณ์ดูหนังที่ดี (มาก) เบาะนิ่ม ผ้าห่ม หมอน ทุกอย่างคุณภาพดีมากๆ
    • อาหารอร่อยและดีกว่าโรงหนังระดับหรูที่อื่น
    • มีที่นั่งแบบเดี่ยว และแบบ 3-4 คนให้เลือกด้วย ต่างจากที่อื่นที่จะเป็นที่นั่งแบบคู่ทั้งโรง

    ข้อเสีย

    • ราคาสูง พาแฟนมาดูหนังครั้งละ 2,000 บาทอาจจะโดนกระโดดถีบได้ เหมาะกับโอกาสพิเศษจริงๆ ในการมาชมภาพยนตร์
    • ถ้ามาเพื่อดูหนังเฉยๆ คุณภาพในโรงทั้งภาพและเสียง ไม่ต่างจากการดูปกติมากนัก