ประสบการณ์ทำงานปีแรกด้วยเงินเก็บ 0 บาท และการลาออกครั้งที่ 1

เราจะต้องมีเงินเก็บ 1 ล้านบาท ก่อนอายุ 30 ให้ได้

เป็นประโยคที่ผมเคยบอกตัวเองก่อนเรียนจบ เป็นเป้าหมายเล็กๆ แต่ถึงตอนนี้ก็ยังนึกถึงประโยคนี้อยู่

เนื่องจากเมื่อคืนนี้ได้หยิบหนังสือที่ซื้อมาดองไว้นานแต่ไม่ได้อ่านเสียที เป็นหนังสือ Best Seller ที่ชื่อ “การลาออกครั้งสุดท้าย” เนื้อหาข้างในก็เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตโดยไม่ต้องไปทำงาน หนังสือดีครับ แนะนำให้ลองซื้อมาอ่านกัน

ระหว่างนั้นก็รู้สึกได้ว่า การแชร์ประสบการณ์ทำงาน โดยเฉพาะเรื่องเงินๆ ทองๆ แบบไม่ต้องปกปิดตัวเลขนี้มันน่าสนใจ และเป็นประโยชน์กับคนอ่านอย่างน่าประหลาด

เคยคิดจะเขียนประสบการณ์ทำงานของตัวเองในช่วงปีแรกๆ และคิดว่าตอนนี้ถ้าจะเขียนก็คงไม่น่าเป็นอะไร ด้วยระยะเวลาที่ผ่านมา 10 ปี ก็ไม่สามารถจะนำไปอ้างอิงอะไรได้ในตอนนี้

แนะนำบล็อกภาคต่อ : แชร์ประสบการณ์เก็บเงินได้ครบ 1 ล้านบาทเมื่อตอนอายุ 31 ปี

โปรแกรมเมอร์เงินเดือน 12,000 บาท

ผมโชคดีที่ได้งานตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ เมื่อก่อนจะสอบโปรเจ็คทางบริษัทโทรมาบอกว่าผมได้งานตำแหน่ง Application Consultant โดยได้เงินเดือนเริ่มต้นที่ 12,000 บาท

เงินเดือนสำหรับเด็กจบใหม่เมื่อ 10 ปีก่อน ได้เท่านี้ก็ถือว่ากลางๆ แต่ที่ทำให้รู้สึกอึดอัดคือเพื่อนที่จบมาพร้อมกัน ทำงานที่เดียวกันแต่ทำตำแหน่งเซลล์ ได้เงินเดือน 15,000 บาท และยังมีค่าคอมฯ อีกตะหาก

  • ข้อดีของงานแรกที่ทำ ถึงแม้เงินเดือนจะไม่มากคือได้สอบ Certify ฟรี และบริษัทบังคับสอบ ผมสอบได้ Certify 4 ใบภายใน 1 ปี
  • ทำงานในสายเขียนโปรแกรม แต่ต้องทำ Database, Document, Requirement รวมถึงต้องไปพรีเซนต์งานด้วย คือทำแมร่งทุกอย่าง
  • ระหว่างที่ทำงาน เพื่อนที่เข้ามาพร้อมกัน เราบอกเงินเดือนกันหมด ซึ่งเป็นเรื่องที่บริษัทห้าม แต่เราก็บอก
  • ทำเขียนโปรแกรมก็จริง แต่ต้องใส่เสื้อเชิ้ตผูกไทด์ไปทำงานทุกวันนะ
  • ค่าใช้จ่ายประจำคือ ค่าหอพักเดือนละ 3,000 บาท, เดินทางวันละ 150 บาท, ไม่มีภาระผ่อนเงินกู้ใดๆ
  • เงินเดือนเดือนแรกให้ป๊าม๊าเลย แล้วใช้เงินเก็บที่มีตอนจะเรียนจบ กินแกลบเดือนแรกไปก่อน
  • รู้สึกตลอดเวลาว่าอยากได้เงินเดือนสูงๆ
  • ตั้งใจทำงานมาก แต่ก็ทำผิดพลาดบ่อย
  • ไปเที่ยวบ้างนิดๆ หน่อยๆ
  • หลายครั้งที่ 5 วันก่อนเงินเดือนออก มีเงินในกระเป๋า 1,000 บาท ต้องบริหารให้ดี เพราะไม่ชอบยืมเงินเพื่อน
  • โบนัสเข้าครั้งแรก ลุ้นแทบตาย ได้มานิดเดียว แต่ก็ดีใจมีเงินใช้
  • ความหวังคือการขึ้นเงินเดือนปีแรก ถ้าเราใช้เงินเท่านี้ เงินเดือนที่เพิ่มมาเราจะเก็บให้หมด ซักพักมันจะต้องงอกเงย
1 ปีผ่านไป ผมได้ขึ้นเงินเดือน 10%+ ทำให้ปีที่ 2 ของการทำงาน มีเงินเดือน 13,500 บาท ผมนึกสะกิดใจว่า เฮ้ย ถ้าขึ้นด้วยอัตรานี้ ต้องรออีก 1 ปีถึงจะมีเงินเดือน 15,000 บาท ซึ่งเพิ่งจะเท่ากับเพื่อนคนที่เริ่มงานพร้อมกันเลย
เงินไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่มันโคตรจะใหญ่เลย ในความรู้สึกตอนนั้น โชคดีที่บริษัทได้สอนอะไรหลายอย่างให้เราโต จึงได้ทำงานต่อไปจนครบ 1 ปี 6 เดือน ผมก็ตัดสินใจว่าจะขอ “ลาออก
โต๊ะทำงาน Outsource ที่ติดกันจนต้องหาอะไรมาประดับบนจอคอมฯ แทน
เงินเก็บ 0 บาท
ผ่านมา 1 ปี 6 เดือนของการทำงาน ผมมีเงินเก็บ 0 บาทถ้วน ถ้านับจริงๆ น่าจะติดลบด้วยซ้ำ เพราะเอาเงินเก็บช่วงที่เรียนป.ตรีมาใช้
เงินหายไปไหนหมด ? อันที่จริงถึงแม้เงินเดือนจะแค่ 12,000 บาท ผมก็ใช้อย่างประหยัดและเก็บเงินได้ 3,000 บาทต่อเดือน จนวันนึงก็เก็บได้ 30,000 บาท
แต่แล้วมันก็ต้องมีเรื่องที่ต้องใช้เงิน เช่นกลับบ้านต่างจังหวัด, โทรศัพท์เสีย, คอมพิวเตอร์เสีย ฯลฯ ซึ่งเงินที่คิดว่าเก็บได้ ไปๆ มาๆ ผ่านไปปีกว่าก็เหลือ 0 บาท
ผมตัดสินใจเข้า Jobsdb, JobsTopGun และสารพัด Job ที่ไม่ได้เกี่ยวกับสตีฟ จ็อบส์ เพื่อสมัครงาน โดยทุกครั้งที่ส่งใบสมัครไปจะเขียนเงินเดือนที่ต้องการว่า “Expected Salary 18,000 Bath (negotiable)
“พี่ขอถามหน่อยค่ะ อะไรทำให้น้องคิดว่าตัวเองควรจะได้เงินเดือน 18,000 บาท” คำถามของ HR ที่กระแทกเข้าหู ในการสัมภาษณ์งานครั้งหนึ่ง ซึ่งนั่นทำให้จ๋อยแดกไปหลายวัน
ผมสัมภาษณ์งานไป 5 บริษัท ทั้งหมดเสนอเงินเดือนที่ 15,000 บาทหรือน้อยกว่านั้น แน่นอนว่าผมปฏิเสธไป เพราะตรูรออีกไม่กี่เดือนก็เงินเดือนเท่านี้แล้วโว้ย
ระหว่างนั้น ประโยคที่บอกว่า จะเก็บเงินให้ได้ “1 ล้านบาท ก่อนอายุ 30 ปี” มันช่างเลือนรางจนเป็นไปไม่ได้
เส้นทางสายนรก
  • สุดท้ายผมเลยเข้าไปปรึกษากับรุ่นพี่ที่จบไปก่อน และก็ได้รู้ความจริงบางอย่างที่ว่า “งานเขียนโปรแกรมเป็นงานที่หาง่าย ใครๆ ก็รับ แต่เงินเดือนก็ไม่สูง”
  • งานที่เงินดีในยุคนั้น คืองาน Outsource ซึ่งกำลังเริ่มบูม
  • อธิบายคือเป็นงานสัญญาจ้าง 6-7 เดือน มานั่งทำโปรแกรมซักตัวนึง จบแล้วจบกัน ไม่จ้างต่อ ไม่มีสวัสดิการ ไม่มีการดูแลอะไร
  • แต่เงินแมร่งโคตรดีเลยว่ะ” รุ่นพี่ย้ำ
  • ผมเริ่มหางานลักษณะที่เป็น Contract, Outsource และก็ลองส่งใบสมัครไป โดยเขียนเงินเดือนที่ต้องการคือ 20,000 บาท !!
  • ด้วยความที่ตัวเองมี Certify ติดตัวมาพอสมควร เลยมีบริษัทเรียกสัมภาษณ์ 3-4 ราย
  • “เงินเดือนเอาเท่านี้ใช่ไหมคะ … เริ่มงานได้วันไหนคะ” เฮ้ย มันง่ายขนาดนั้นเลย !?
  • ผมลาออกจากบริษัทแรก ไปสู่การเป็นพนักงาน Outsource เต็มตัว
  • ซึ่งเงินเดือนดีมาก ผมทำโปรเจ็ค 4-5 เดือนกับที่นึง ก็ย้ายไปอีกบริษัทนึง เป็นอย่างนี้อยู่ปีกว่าๆ
  • และทุกครั้งที่ย้ายงาน เงินเดือนก็ขึ้นด้วยนะ โหแม่งคุ้มกว่าขึ้นเงินเดือนปีละ 10% เยอะเลย
ในขณะที่ตัวเองกำลังลั้นลากับรายได้ แต่ความเป็นจริงของงานลักษณะนี้ก็เริ่มชัดเจนขึ้น คือผมสามารถสรุปการทำงาน 1 ปีครึ่งที่เป็น Outsouce ได้ว่า “งานแมร่งหนักเหี้ยๆ
  • 22.00 น. คือเวลากลับถึงบ้านตามปกติ
  • 1.5 เมตรคือขนาดโต๊ะที่นั่งทำงาน โดยถ้าบิดขี้เกียจ ยกแขนไปเต็มสองข้าง จะไปโดนหัวของเจ้านายที่นั่งติดๆ กัน
  • ทุกเดือนจะต้องมีช่วงที่ทำงานตลอด 7 วัน
  • เคยมีวันนึงผมเข้างานตอน 9.00 น. และออกจากบริษัทตอน 15.00 น. … ของอีกวันนึง (ใช่ครับ ทำงาน 30 ชั่วโมง)
  • ชีวิตมันก็ไม่ได้เยี่ยงทาสขนาดนั้น มีเหนื่อย แต่ก็มีพักบ้างแหล่ะ
  • แต่ปัญหาคือ ไม่มีเพื่อนเลย คนที่คุยกันเมื่อ 4 เดือนก่อน มาตอนนี้ก็ไปทำโปรเจ็คอื่นแล้ว
  • โบนัสไม่มี เพราะเงินเดือนสูงอยู่แล้ว
  • เคยป่วยครั้งนึง อยากไปหาหมอรพ. แต่บริษัทไม่มีสวัสดิการ ก็ต้องไปฝั่งประกันสังคม ซึ่งรอคิวนานมาก จนป่วยหนักขึ้นไปอีก
  • ไม่ค่อยมีเวลาคิดเรื่องอนาคต เพราะทำแต่งานจริงๆ
  • เบื่อ (มาก)
ระหว่างที่กำลังเข้าไปอยู่ในวังวนของการทำงานตั้งแต่ตื่นจนหลับ โชคดีที่ช่วงหลังบริษัทที่ผมอยู่มีการ Layoff และปิดบริษัทไป ทำให้ได้เงินมาก้อนหนึ่ง
ผมสมัครเป็นคนว่างงาน นั่งรถไฟคนเดียวไปเชียงใหม่ สงบจิตสงบใจหน้ากรงแพนด้า
และก็ได้รู้ว่า ชีวิตผมต้องการสมดุล ต้องการเงินที่ดีระดับหนึ่ง แต่ก็ต้องการสังคม และงานที่พอดีๆ
ช่วงเวลา 2 สัปดาห์ที่เชียงใหม่ ตื่นสายๆ เที่ยววันละที่ กินอาหารอร่อยๆ ก็ได้เติมพลังให้ชีวิตในอีกระดับนึง
จนมีโทรศัพท์โทรเข้ามา ระหว่างที่กำลังเดินขึ้นดอยสุเทพ ปลายสายพูดเสียงหวานว่า
“สวัสดีค่ะคุณขจร พี่โทรจากบริษัท Reuters Software Thailand นะคะ …”
7 ปีหลังจากนั้นผมก็ทำงานอยู่ที่ Reuters จนตัดสินใจลาออกมาทำฟรีแลนซ์ครับ แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมากจากการที่เราได้ทำงานหลากหลาย เคยเงินเดือนไม่พอใช้ เคยไม่มีเงินเก็บ เคยเหนื่อย เคยลำบากมากก่อน

ไม่รู้ว่าเรื่องราวนี้จะให้อะไรกับท่านที่กำลังอ่านอยู่หรือเปล่า แต่ที่อยากบอกคือ ผมเคยเงินเดือน 12,000 บาทแต่ก็เก็บเงินจนครบล้านได้ครับ ผมเคยทำงานแบบเอาเป็นเอาตายแล้วเงินเดือนขึ้นนิดเดียวแต่ก็พยายามทำเต็มที่ต่อไป ผมเคยย้ายงานไปเรื่อยๆ กว่าจะหาที่ลงตัวเจอแล้วก็อยู่ได้ยาวนานหลังจากนั้น

ท้อได้ครับ เหนื่อยได้ แต่พรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว เริ่มใหม่ได้เช่นกัน 🙂

Note: ประสบการณ์ที่อยู่ใน Reuters คงไม่สามารถเขียนถึงได้ จนกว่าเวลาจะผ่านไปถึงจุดที่เหมาะสม และบล้อกนี้ก็ไม่ได้ต้องการจะ PR อะไรในบริษัท
Note 2: สำหรับความฝันเก็บเงิน 1 ล้านบาทก่อนอายุ 30 สุดท้ายคือทำไม่สำเร็จ เลยเลื่อนเวลาเป็นอายุ 31 แทน -> แชร์ประสบการณ์เก็บเงินได้ครบ 1 ล้านบาทเมื่อตอนอายุ 31 ปี
รูปตอนที่เข้ามาอยู่ Reuters ปีแรกๆ